top of page
Search

สัญญาก่อนสมรส

Writer's picture: jthailawyerjthailawyer

สัญญาก่อนสมรส

การครองคู่ในยุคใหม่นิยมใช้สัญญาก่อนสมรสมากขึ้น มาดูกันว่ามันคืออะไร

“สัญญาก่อนสมรส” คำ ๆ นี้คงเป็นที่รู้จักน้อยมากในหมู่คนไทย แม้ว่าเราพอจะรู้เรื่องสินเดิม สินส่วนตัว กับสินสมรส แต่ชนิดที่จะทำเป็นสัญญาบรรยายทรัพย์เป็นฉากๆ ก็คงมีเฉพาะคนที่ร่ำรวยจริงๆ มีธุรกิจมากมายมหาศาลที่ต้องแยกแยะเพื่อความรอบคอบในเรื่องภาษี และปกป้องเรื่องมรดกหรือผลประโยชน์ของครอบครัวเดิม


บ่อยครั้ง เราได้ยินเรื่องสัญญาก่อนสมรสของคนดังระดับโลก ดาราฮอลลีวู้ด เซเลบ อภิมหาเศรษฐีทั้งหลายที่เปลี่ยนภรรยาบ่อยกว่าเปลี่ยนรถยนต์ หรือ ดาวค้างฟ้าที่เปลี่ยนสามีบ่อยเหมือนซื้อแหวนเพชร ที่บอกชัดเจนเลยว่า ถ้าเลิกกัน ยูจะได้ส่วนแบ่งเท่าไร เรียกว่าใครที่คิดจะมาเป็นหนูตกถังข้าวสาร ไม่มีสิทธิได้แอ้มข้าวสารทั้งยุ้งหรอก อย่างมากก็สักกระบุงเท่านั้น


แต่มาดามเมียฝรั่งอย่างพวกเรา แต่งงานแล้วก็กะว่าจะร่วมหัวจมท้ายกับสามีฝรั่งกันไปจนถึงที่สุด ไอ้ที่จะคิดเลิกร้างกันคงไม่มีอยู่ในสมอง เพราะแค่เตรียมเอกสารขอวีซ่าแต่งงานก็หืดขึ้นคอแล้ว ใครจะคิดมาทำสัญญาก่อนสมรส ภาษากฎหมายวุ่นวายอ่านไม่เข้าใจ แถมเมียฝรั่งอย่างเราก็มีทองแค่หนวดกุ้ง บางทีก็แทบจะมามือเปล่าพร้อมภาระมากมาย แต่งงานกับสามีฝรั่งที่รวยกว่า ก็ต้องหวังให้เขาเลี้ยงดูเราเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้ละโมบจะไปเอาอะไรที่ไม่ใช่ของเรา เราไปด้วยความรักแท้ๆ ทำไมต้องมาแยกทรัพย์สมบัติกันด้วย นั่นมันวัฒนธรรมฝรั่งชัดๆ


ถ้าแม้นว่าที่สามีเอ่ยว่า ที่รัก เรามาทำสัญญาก่อนสมรสกันเถอะ ว่าที่เจ้าสาวหรือคู่หมั้นหลายคนอาจจะเอ๋อไปหน่อยนึงก่อน พอรู้ว่าเป็นอะไรก็อาจจะตะลึงงัน น้อยอกน้อยใจ น้ำหูน้ำตาว่า ยูไม่รักไอจริง กลัวไอจะมาปอกลอกหรือไง เผลอๆจะไม่ได้แต่งงานก็เพราะไอ้สัญญาที่ว่านี่แหละ


ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไหนๆ เราเป็นมาดามเมียฝรั่งแล้ว เราลองมารู้จักสัญญาก่อนสมรสกันดีกว่า ไปพูดคุยกับใครเขาจะได้ไม่ล้าสมัย หรือเกิดมีคนรู้จักมาถาม จะได้ให้คำแนะนำได้ถูก


สัญญาก่อนสมรสคืออะไร


สัญญาก่อนสมรส มีคำเรียกเต็มๆภาษาอังกฤษว่า Prenuptial Contract หรือ เรียกสั้นๆว่า Prenup แต่ใครจะถนัดเรียกว่า Marriage Contract ก็คงไม่ผิดประการใด นิยามของ “สัญญาก่อนสมรส” ที่พอเข้าใจกันทั่วไปก็คือ


• เป็นข้อตกลงของว่าที่เจ้าบ่าว-ว่าที่เจ้าสาว ที่ว่าด้วยทรัพย์สิน(และหนี้สิน)ของทั้งสองฝ่าย และ การแบ่งทรัพย์สินเหล่านั้นในกรณีหย่าร้างหรือตายจากกันไปข้างหนึ่ง

• โดยทั่วไปจะเขียนก่อนจดทะเบียนสมรส และจะแนบเป็นเอกสารหนึ่งเมื่อยื่นขอแต่งงาน (แล้วแต่ข้อกำหนดของแต่ละชุมชนด้วย)

• สัญญามักจะมีภาคผนวกที่ระบุว่า ใครมีอะไรเป็น “สินเดิม” บ้าง และอะไรเป็นที่ถือเป็น ”สินสมรส” และ “สินส่วนตัว”


คำศัพท์ทางกฎหมายสองสามคำที่ควรรู้


สินเดิม (Separate property assets and liabilities): คือสิ่งที่มาดามและว่าที่สามี มีติดตัวมาก่อนแต่งงาน เช่น ที่ดินที่พ่อแม่ให้ บ้านหรือคอนโดที่ซื้อหรือผ่อนไว้ด้วยเงินตัวเอง รถยนต์ที่มีมาก่อนสมรส แก้วแหวนเงินทอง เงินสดในบัญชีธนาคาร หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และทรัพย์สินหรืออหังสาริมทรัยพ์อื่นๆ การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ บริษัท ห้างหุ้นส่วน ประกันชีวิต รวมทั้งหนี้สินต่างๆ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้เงินกู้ลงทุน หนี้เงินกู้ผ่อนบ้าน ที่มีมา “ก่อน” การแต่งงาน


สินสมรส (Marital property): สินทรัพย์ที่หาได้หรือมีร่วมกันในระหว่างการสมรส เช่น บ้านที่ซื้อร่วมกันและช่วยกันผ่อนหลังจากแต่งงานแล้ว รถยนต์ที่ซื้อใช้เพื่อครอบครัว เงินเดือนจากการทำมาหากินของแต่ละฝ่าย เงินเก็บสะสมร่วมกัน หลักทรัพย์อื่นๆที่เห็นได้ชัดว่าหามาเพื่อครอบครัวแม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะออกเงินน้อยกว่าหรือไม่ได้ออกเงิน เงินลงทุนในธุรกิจของครอบครัว บริษัทที่จัดตั้งร่วมกัน การเข้าไปเป็นลูกจ้างบริษัทของอีกฝ่าย


สินส่วนตัว (Separate property): สินทรัพย์ที่เป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อนการแต่งงานหรือระหว่างแต่งงาน เช่น บ้าน-ที่ดินที่ซื้อก่อนแต่ง มรดกที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้จากญาติฝั่งของตัวเอง หรือของขวัญที่มีคนให้มาด้วยความเสน่หา หรือของรางวัลที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กองทุนการศึกษาเพื่อบุตรหลานที่มีจากการสมรสครั้งก่อน แต่ ในบางครั้งสิ่งที่งอกเงยจากสินส่วนตัวในระหว่างการแต่งงาน เช่น เงินกำไร ดอกเบี้ย มูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น ผลกำไรจากบริษัท ก็อาจถือเป็นสินสมรสได้ หากไม่มีการระบุให้ชัดเจน


เหตุสิ้นสุดการสมรส (Operative event, separation event or termination): เหตุที่ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง และทำให้สัญญาก่อนสมรสมาผลบังคับใช้ โดยทั่วไป หมายถึง การยื่นฟ้องหย่า การย้ายออกจากบ้าน หรือการส่งหนังสือฟ้องหย่า


ค่าเลี้ยงดู (Spousal support or maintenance): เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องให้การดูแลด้านการเงินอีกฝ่ายหนึ่งหลังการหย่าร้าง เช่น ในกรณีคู่สมรสต้องทิ้งงานอาชีพเพื่ออยู่กับบ้านและเลี้ยงลูก ค่าเลี้ยงดูคือเงินที่จะต้องให้คู่สมรสฝ่ายที่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ในทันที


ย่อหน้ายุติสัญญา (Sunset clause): ย่อหน้าในข้อตกลงที่บอกว่าเมื่อไรสัญญานี้จะหมดการบังคับใช้ เช่น เมื่อการสมรสจบลง หรือ คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต หรือหลังจากแต่งงานมาครบกี่ปี บางทีก็อาจหมายถึงจำนวนเงินค่าเลี้ยงดูที่คู่สมรสจะได้รับที่ขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่อยู่กินกันมา ถ้าคู่สมรสมีบุตร ก็อาจได้รับค่าเลี้ยงดูเพิ่มขึ้น


ต้นร้ายแล้วปลายจะดี(ไหม)

สัญญาก่อนสมรสจะว่าไปก็แสดงความโปร่งใสทางการเงินของทั้งสองฝ่าย และช่วยให้คู่สมรสได้วางแผนร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะกำหนดสิทธิ หน้าที่ และภาระต่อทรัพย์สินแล้ว ยังเป็นการทำให้เรารู้จักว่าที่สามีว่าที่ภรรยาดีขึ้นด้วยว่า มีแนวคิดอย่างไรเรื่องสินสมรส และมีความคาดหวังอย่างไรต่อกันและกันในเรื่องเงินๆทองๆที่ชวนบาดใจนี้ แน่นอนว่าสัญญาก่อนสมรสฟังดูน่ากลัวพิลึก เหมือนไม่ใช่สิ่งที่คนรักกันสองคนจะเอามาคุยกันได้เลย แต่ใครจะรู้ วันหนึ่งแฟนฝรั่งของว่าที่มาดามจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ดาร์ลิงก์ ถ้าเราจะแต่งงานกัน ไออยากให้เราทำสัญญาก่อนสมรสให้เรียบร้อยนะ” ถ้าวันนั้นมาถึง ว่าที่มาดามก็จะได้อมยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ยูลองบอกไอซิว่ายูคิดอย่างไร”


ถ้าเราเชื่อในไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน แม้รักที่สุดวันหนึ่งก็อาจหมดรักได้ การแต่งงานแม้จะเริ่มต้นอย่างหวานจนน้ำอ้อยเรียกพี่ วันหนึ่งน้ำผึ้งก็อาจจะขม และแต่ละฝ่ายอาจจะต้องการจะไปทางใครทางมัน ดังนั้น สัญญาก่อนสมรสจะเป็นเส้นทางอนาคตที่ค่อนข้างชัดเจนสำหรับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะเมียฝรั่งที่จากบ้านมาไกล ไม่ต้องเสียเวลามาทะเลาะกันตอนแยกทางกันจริงๆ เราไม่ควรจะกลัวที่จะทำสัญญาก่อนสมรสนี้ แต่เรามีสิทธิหวังว่าเราจะไม่มีวันต้องใช้มันจริงๆ


ดังนั้น บางทีการถกเถียง ทะเลาะ น้ำหูน้ำตา น้อยอกน้อยใจ ต่อว่าต่อขานกันเสียตั้งแต่ก่อนจะเซ็นสัญญา อาจทำให้การเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ขรุขระกลับดำเนินไปด้วยความราบรื่น เพราะต่างชัดเจนในความคาดหวังของแต่ละฝ่ายก็ได้


สัญญาก่อนสมรสเหมาะสมกับใครบ้าง

1. คู่สมรสที่ฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินมากกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

2. คู่สมรสที่ต้องการจะเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของกันและกันในเรื่องของการบริหารทรัพย์สิน-หนี้สินและการเงินของครอบครัว

3. คู่สมรสที่มีธุรกิจหรืออสังหาริมทรัพย์ติดตัวมา และจำเป็นต้องวางแผนระยะยาว

4. คู่สมรสที่มีหนี้สินจำนวนมากติดตัวมา

5. คู่สมรสที่มีภาระต้องส่งเสียภรรยาเก่าและลูกติดจากการสมรสเดิมอยู่

6. คู่สมรสที่ต้องการความคุ้มครองให้แก่ลูกของตัวเองและลูกที่ติดมาจากการสมรสครั้งก่อน ซึ่งอาจได้รับความคุ้มครองต่างกัน (แต่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยท้ายสุดว่าข้อตกลงเช่นนั้นเป็นผลดีที่สุดกับเด็กหรือไม่)

7. คู่สมรสที่มีมรดกหรือทรัพย์สินบางอย่างที่ควรตกทอดอยู่ในครอบครัวฝ่ายตนเท่านั้น

8. คู่สมรสเพศเดียวกันในกรณีที่ต้องการมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน (Cohabitation) แต่ยังไม่มีกฎหมายจดทะเบียนสมรสรองรับ


การบังคับใช้สัญญาก่อนสมรส

แม้ว่าการเซ็นสัญญาจะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่เมื่อถึงขั้นต้องบังคับใช้ (แบ่งสมบัติตอนหย่าร้าง) ศาลก็อาจมีสิทธิเข้ามาแทรกแซงได้ เป็นรายกรณีไป โดยเฉพาะหากมีฝ่ายหนึ่งร้องเรียนว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรม ปัจจัยที่ศาลจะพิจารณาคือ

• ความเป็นธรรมของสัญญาดังกล่าวต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

• คู่สมรสที่เซ็นสัญญาเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริงหรือไม่

• คู่สมรสที่เซ็นสัญญาได้รับคำปรึกษาทางกฎหมายอย่างเหมาะสมหรือเปล่าเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของสัญญา

• คู่สมรสมีเวลาไตร่ตรองมากพอก่อนจะเซ็นสัญญาหรือไม่ หรือถูกบังคับให้เซ็น


สัญญาหลังสมรส (Post-marriage contract)

บางครั้งคู่สมรสมาเซ็นสัญญากันหลังแต่งงานว่าจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพราะเริ่มมีเค้าว่าจะต้องหย่าร้างกันในไม่ช้านี้ ในกรณีนี้ ศาลจะพิจารณาคดีตามสัญญาหลังแต่งงานมากกว่าตามสัญญาก่อนสมรส อย่างไรก็ดี ในบางรัฐ จะไม่รับพิจารณาสัญญาหลังแต่งงานหากพบว่ามีการทำสัญญานี้ในระหว่างที่คู่สมรสเริ่มคิดเรื่องการหย่าร้างแล้ว (เช่น ภรรยาจับได้ว่าสามีแอบไปมีกิ๊กก่อนที่จะมาขอทำสัญญาหลังแต่งงาน)


ข้อจำกัดของการทำสัญญาก่อนสมรส

ในหลายประเทศหรือในหลายรัฐ ก็ไม่ได้รับรองการทำสัญญาก่อนสมรส เพราะถือว่าไม่เป็นผลดีต่อนโยบายสังคม เนื่องจากสัญญาก่อนสมรสอาจทำให้เกิดการหย่าร้างมากขึ้น หรือสามีที่ร่ำรวยอาจสร้างเงื่อนไขสัญญาที่เอาเปรียบหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมายต่อภรรยาของตนได้ หรือใช้เป็นข้ออ้างเปลี่ยนภรรยาเป็นว่าเล่น


แม้ว่าการทำสัญญาจะมีข้ออ่อนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือเรื่องเงินส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาและบุตรในกรณีที่แยกทางหรือตายจากกัน รวมทั้ง ช่วยให้ฝ่ายที่ไม่ได้ก่อหนี้สินก่อนการแต่งงาน ไม่ต้องรับผิดต่อหนี้สินของอีกฝ่าย


สิ่งที่ไม่ควรระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส ได้แก่ การนับถือศาสนาของเด็กๆ การแบ่งหน้าที่ในบ้าน การแบ่งภาระทางการเงิน หรือการมีเพศสัมพันธ์บ่อยแค่ไหน เพราะเป็นเงื่อนไขที่ศาลไม่มีกลไกในการวินิจฉัย และหากมีเงื่อนไขแปลกๆเช่นนั้น ก็อาจทำให้ศาลวินิจฉัยว่า


สัญญาก่อนสมรสกลายเป็นโมฆะได้


โดยทั่วไป คู่สัญญาสามารถระบุในสิ่งที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงามของสังคมไว้ในสัญญาเช่นที่ว่านี้ได้ แต่สัญญาดังกล่าวจะต้องไม่มีเนื้อหาที่เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายรีบฟ้องหย่าอีกฝ่ายโดยเร็ว เพราะสัญญาเช่นนี้จะถือเป็นโมฆะได้


ข้อจำกัดต่างๆของสัญญาก่อนสมรสมีดังนี้

1. ทั้งสองฝ่ายต้องแบไต๋หมดหน้าตักว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพราะถ้าไม่แถลงให้หมด เมื่อถึงเวลาแบ่งทรัพย์สินกัน อาจจะเสียสิทธิในทรัพย์ที่ไม่ได้แจ้งนั้น

2. บางมลรัฐหรือประเทศไม่อนุญาตให้ทำสัญญาที่จำกัดหรืองดเว้นการให้ค่าเลี้ยงดูคู่สมรสที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะหากคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นคนร่ำรวย

3. ไม่สามารถสร้างเงื่อนไขเรื่องเงินเลี้ยงดูบุตรได้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด

4. ในบางประเทศ เช่น สหรัฐ และคานาดา ไม่อนุญาตให้ทำสัญญาที่จำกัดสิทธิการเยี่ยมเยียนบุตร

5. ศาลสามารถบอกล้างสัญญาได้หากเห็นว่า หัวใจของสัญญานั้นเป็นการฉ้อฉล ตบตา ข่มขู่บังคับ หรือล่อลวงขืนใจ ให้อีกฝ่ายยอมตาม เช่น เจ้าบ่าวเอาสัญญามาให้เจ้าสาวเซ็นในคืนก่อนวันแต่งงาน เจ้าสาวอาจฟ้องว่าเป็นการข่มขู่หรือฝืนใจให้ โดยทั่วไปสัญญาควรเซ็นไม่น้อยกว่า ๓๐ วันก่อนส่งบัตรเชิญแต่งงาน

6. สัญญาจะบังคับใช้ไม่ได้ หากมีข้อกำหนดที่จะทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายต้องสิ้นไร้ไม้ตอก

7. ต้องพูดเรื่องเงินทองของแสลงใจ ในช่วงที่ควรจะพูดแต่เรื่องความสุขของการสร้างชีวิตใหม่ เหมือนกับมีความไม่ไว้วางใจกัน และอาจเป็นเรื่องที่กัดกินใจตลอดชีวิตแต่งงานได้ เผลอๆ ทำให้เกิดการมองในแง่ร้าย เพราะต้องมาวางแผนการหย่าร้างพร้อมๆกับวางแผนการแต่งงาน

8. ต้องเหน็ดเหนื่อยและตึงเครียดกับการต่อรอง และต้องเสียเงินจ้างทนายความ

9. คู่สมรสฝ่ายหนึ่งอาจต้องสูญเสียสิทธิในกองมรดกของอีกฝ่าย ในกรณีเสียชีวิต ทั้งๆที่โดยทางกฎหมายแล้วคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิที่จะได้รับ(บางส่วน)

10. คู่สมรสฝ่ายที่หนุนช่วยธุรกิจในทางอ้อม เช่น โดยการจัดเลี้ยงแขกของบริษัท หรือดูแลบ้านเรือนและเด็กๆเพื่อให้อีกฝ่ายทำงานได้อย่างเต็มที่ อาจไม่ได้สิทธิในมูลค่าเพิ่มของธุรกิจของอีกฝ่าย

11. หากเป็นการทำสัญญาระหว่างคู่แต่งงานต่างวัฒนธรรมต่างการศึกษา ข้อตกลงอาจไม่ใช่ประโยชน์ที่ดีที่สุดของฝ่ายซึ่งอาจจะไม่เข้าใจเจตนารมณ์และเนื้อหาแห่งสัญญาดีพอ


ประโยชน์ของการทำสัญญาก่อนสมรส

ไม่จำเป็นต้องรวย เราก็ทำสัญญาก่อนสมรสได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังจะแต่งงานเป็นครั้งที่สอง เพราะมีบทเรียนและภาระ (เมียเก่าและลูกติด) จากการแต่งงานครั้งก่อน


ประโยชน์ของสัญญาก่อนสมรสมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1. ความแน่นอนและแน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน หากว่าอีกฝ่ายขอหย่าหรือเสียชีวิตไป

2. ความคุ้มครองให้กับลูกๆที่ติดมาจากการสมรสครั้งก่อน

3. เป็นสิ่งที่ทำในระหว่างที่คู่สมรสยังรักใคร่กลมเกลียวกันดี จึงเป็นการทำอย่างมีสติและปรองกองมากกว่า ไปเรียกร้องกันในตอนจะแยกทางหรือฟ้องหย่า ซึ่งจุดนั้นจะมีแต่เรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง และผลของการฟ้องหย่าก็ยังคาดเดาไม่ได้อีกด้วย แถมต้องเสียค่าทนายมากมาย

4. ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อรองเนื้อหาในการแบ่งทรัพย์สินได้เอง แทนที่จะให้ศาล (ผู้พิพากษา) มาตัดสินโดยใช้ฎหมายของจังหวัดหรือรัฐที่อาศัยอยู่ว่าจะต้องแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร

5. ทำให้คู่สมรสมีความเปิดเผยและโปร่งใสต่อกันในเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตสมรส

6. ช่วยปกป้องทรัพย์สมบัติของแต่ละฝ่ายที่ตกทอดจากปู่ย่าตายายสู่ลูกหลาน หรือธุรกิจครอบครัวที่ทำมาเนิ่นนานก่อนการแต่งงาน

7. ช่วยการบริหารบัญชีทรัพย์สินให้แยกจากกันชัดเจน

8. ช่วยทำให้วางแผนเรื่องทรัพย์มรดกของแต่ละฝ่ายได้ง่ายขึ้น

9. ช่วยป้องกันการขัดแย้งในอนาคต

10. เป็นการสร้างแนวทางสำหรับการตัดสินใจในอนาคต

11. ช่วยคุ้มครองคู่สมรสที่ต้องทิ้งอาชีพการงานหรือบ้านเกิดเมืองนอนมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่


การฟ้องล้มล้างสัญญาก่อนสมรส

กรณีนี้เป็นประโยชน์สำหรับมาดามเมียฝรั่ง ซึ่งเมื่อยามรัก อะไรที่แฟนขอ เราก็ให้ง่าย ๆ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจภาษา อ่านไม่ออกสักคำ แต่ก็เชื่อใจเขา พอสามีขอแยกทางขึ้นมา ถึงพบว่าตัวเองเสียเปรียบมากมายเพราะความไม่รู้ในตอนนั้น การทำสัญญาก่อนสมรสจึงไม่ควรทำกันเอง แต่ควรมีทนายความช่วยทำ โดยมีทนายฝ่ายละคน ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อหาในสัญญาไม่แย้งกับกฎหมายครอบครัวหรือกฏหมายอื่น ๆ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย


การฟ้องล้มล้างสัญญาก่อนสมรสอาจทำได้ในเงื่อนไขต่อไปนี้

1. สัญญายังไม่มีการลงนาม ไม่มีการลงวันที่ เนื้อความยังไม่ครบถ้วน

2. คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ได้เปิดเผยทรัพย์สิน-หนี้สินทั้งหมด

3. พิสูจน์ได้ว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีตัวแทน(ทนาย)ตามกฎหมายช่วยดูการร่างสัญญา แต่ข้อนี้เพียงข้อเดียวยังไม่พอที่จะบอกล้มสัญญา

4. พิสูจน์ได้ว่าสัญญานั้นไม่ยุติธรรม (unconscionable) ในขณะที่มีการเซ็นสัญญานั้น หรือ ตามเหตุการณ์ในปัจจุบัน

5. ฝ่ายหนึ่งถูกบีบบังคับให้เซ็นเพราะสถานการณ์ เช่น เซ็นในเวลาที่คับขันกระชั้นชิดเกินไป

6. ฝ่ายหนึ่งทำการฉ้อฉล ตบตา หลอกลวง ขู่บังคับ ฝืนใจให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมทำตาม


สิ่งอื่นที่ควรพิจารณา

คู่แต่งงานควรร่างรายการทรัพย์สินของตัวเองอย่างละเอียด เพื่อให้ตรงกับสัญญาก่อนสมรส เพราะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไป ลูกหลานหรือภรรยาม่ายจะได้ไปดำเนินคดีเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ทำให้เสียเงินเสียเวลาโดยใช่เหตุคู่แต่งงานอาจพิจารณาทำประกันชีวิตแทนที่จะมอบเป็นทรัพย์สินให้แก่ลูกและเมียคู่แต่งงานอาจยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาก่อนสมรสได้ตลอดเวลา หรือสามารถเพิ่ม “วันหมดอายุ” (sunset provision) ได้ เช่น สัญญาจะหมดอายุเมื่อแต่งงานครบ ๑๐ ปี เป็นต้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกขอให้เซ็นสัญญาก่อนสมรสอย่างกระชั้นชิด เช่น ไม่ถึง ๓๐ วันก่อนแต่งงาน สัญญานั้นอาจถือเป็นโมฆะได้ หากมีการฟ้องร้อง


ถามใจเธอดูก่อน

เมื่อเราได้เข้าใจข้อดี ข้อเสีย ความหมายของสัญญาก่อนสมรสแล้ว ลองถามตัวเองดูด้วยคำถามเหล่านี้ว่า เราอยากทำหรือจำเป็นต้องทำสัญญาเช่นที่ว่านี้หรือเปล่า

1. คุณมีอสังหาริมทรัพย์หรือไม่

2. นอกจากอสังหาริมทรัพย์ คุณมีเงินสดและสมบัติที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่า $50,000 หรือไม่

3. คุณมีรายได้มากกว่า $100,000 ต่อปีหรือเปล่า

4. คุณมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจใดหรือเปล่า

5. คุณมีทรัพย์สินรวมกันที่มีมูลค่ามากกว่าเงินสำรองเลี้ยงชีพหรือเงินบำนาญหนึ่งปีรวมกันไหม

6. คุณมีผลตอบแทนในการทำงานที่เป็นหุ้นหรือส่วนแบ่งผลกำไรของกิจการหรือไม่

7. คุณและคู่ครองของคุณตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นคนทำงานหาเลี้ยงหรือเปล่า

8. ในพินัยกรรมหรือกองมรดกของคุณ มีชื่อทายาทอื่นๆนอกเหนือจากชื่อคู่สมรสของคุณหรือเปล่า

ถ้าคุณตอบ “ใช่” ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆข้อ คุณควรจะทำสัญญาก่อนสมรสถ้าคุณตอบ “ไม่” หมดทุกข้อ คุณไม่จำเป็นต้องทำสัญญาก่อนสมรส แต่ว่าคุณอาจสนใจที่จะทำเพราะอย่างน้อยก็จะได้ปกป้องทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต


สิ่งที่ควรระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส

1. มรดกสำหรับบุตรธิดาที่มีมาจากการแต่งงานครั้งก่อน (ไม่ใช่เงินเลี้ยงดูบุตร)

2. ธุรกิจที่มีมาก่อน

3. ผลประโยชน์จากกองทุนเกษียณอายุ

4. การจัดการ สินส่วนตัว และ สินสมรส

5. การไม่รับผูกพันกับหนี้สินที่คู่สมรสมีมาก่อนการแต่งงาน

6. การแบ่งแยกทรัพย์สินในกรณีหย่าร้าง และค่าเลี้ยงดู

7. รายได้ รายการหักจ่าย ค่าจ้างในการขอคืนภาษี

8. การจัดการกับใบเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในบ้าน

9. การบริหารบัญชีธนาคารร่วมกัน ถ้ามี

10. การวางแผนการลงทุน เช่น การซื้อทรัพย์สินชิ้นใหญ่ หรือทำโครงการใหม่ๆ เช่น สร้างหรือซื้อบ้าน หรือ เปิดบริษัทใหม่

11. การบริหารหนี้สินจากบัตรเครดิตและการจ่ายเงิน

12. การช่วยกันสะสมเงินออม

13. การช่วยกันส่งเสียอีกฝ่ายให้ได้เล่าเรียนเพิ่มเติม

14. การกระจายทรัพย์มรดกให้กับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เช่น ทำประกันชีวิต

15. วิธีการเจรจาในกรณีขัดแย้ง เช่น หาคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ย


ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยง

ฝรั่งนักกฎหมายเขาสรุปข้อผิดพลาดบางประการที่ได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ว่าเป็นเหตุผลของการไม่ทำสัญญาก่อนสมควร


ข้อผิดพลาดที่ ๑: “ไอไม่อยากพูดเรื่องนี้ มันไม่โรแมนติก”

แน่นอนว่าการพูดคุยเรื่องสัญญาก่อนสมรส มันไม่ม่วนเหมือนคุยเรื่องจะไปฮันนีมูนที่ไหน จะมีลูกกี่คน จะสร้างบ้านกี่ชั้น แต่ชีวิตจริงคือ มาดามได้แต่งงานอยู่กินกันไป เอ๊ะ รักชักจืดจาง ทะเลาะเช้าเย็น สามีท่าทางเหมือนมีหญิงอื่น หากสามีเปลี่ยนใจไปมีคนใหม่จริง เราจะมีอะไรติดตัวบ้าง เงินทองเขาก็หามาทั้งนั้น มาถึงจุดนั้นแล้ว เราอาจจะนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำสัญญาดังว่าไว้เสียก่อน คู่รักทั้งหลายไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความรัก แต่ฟังเหมือนความงก


ที่จริงแล้ว เราควรพูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเริ่มและพูดถึงมันบ่อยๆ เพราะพูดก่อนแต่งมันง่ายกว่าพูดตอนกำลังท้าหย่ากันเหย็งๆแน่นอน จะให้ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและครอบครัวบอกว่า เราควรทำสัญญาก่อนสมรสอย่างน้อย ๖ เดือนก่อนวันแต่งงาน การเปิดเผยด้านการเงินเป็นสิ่งสำคัญ มาดามจำนวนมากไม่รู้เลยว่า สามีมีทรัพย์สินอะไร หนี้สินอะไรเท่าไร เพราะคนจะแต่งงานกันก็มักจะคุยกันเรื่องอื่น เช่น งานแต่งงาน การขอวีซ่า การย้ายถิ่น การส่งเสียคนทางบ้าน เรียนภาษา หาที่อยู่ใหม่ ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนเกี่ยวโยงกับการใช้เงินทั้งนั้น


ดังนั้น คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จคือคู่ที่สื่อสารกันมากที่สุดในเรื่องนี้ มีความชัดเจนด้านการเงินมากที่สุด การทำสัญญาก่อนสมรสเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อความรู้สึกของสาวไทยผู้ไม่คุ้นเคยกับการใช้กฎหมายมากำกับความรักแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีทรัพย์สินเทียมเท่าฝ่ายชาย แค่ภาษาที่จะคุยกับว่าที่สามีให้รู้เรื่องก็ทั้งยากแล้ว แต่มันเป็นเรื่องสำคัญที่คู่ชีวิตที่มองการณ์ไกลจำเป็นต้องทำร่วมกัน เพราะการร่วมชีวิตด้วยความรัก ก็เป็นการเอาเงินมาร่วมกันเป็นถุงเดียวด้วย ถ้าเราไม่รู้จักบริหารเงินถุงนั้นให้เป็น ก็เท่ากับเราไม่ได้ปกป้องอนาคตของตัวเราเอง


ข้อผิดพลาดที่ ๒: ใช้ทนายคนเดียวกัน

อาจจะฟังดูแปลกๆ ว่าทำไมใช้ทนายคนเดียวกันไม่ได้ เรื่องของเรื่องคือ กฎหมายกำหนดให้ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องมีตัวแทนคนละคน เพราะหากมีการฟ้องร้องในภายหลังว่า อีกฝ่ายไม่มีตัวแทนทางกฎหมาย สัญญานั้นอาจเป็นโมฆะได้


การมีทนายให้แต่ละฝ่ายก็จะช่วยให้ฝ่ายที่รู้กฎหมายน้อยกว่าสบายใจ ถ้าให้ทนายคนเดียวกันก็จะไม่มีคนช่วยปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่อ่อนกว่าอย่างเต็มที่และรอบด้าน เพราะทนายจะกลายเป็นคนกลาง ไม่ใช่คนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะตกลงอะไรก็กลายเป็นหยวนๆกันไป และมองในด้านเดียว โดยเฉพาะถ้าฝ่ายมาดามมาต่างบ้านต่างเมือง ยิ่งต้องมีทนายที่อธิบายให้ฟังและรักษาผลประโยชน์ของมาดามในฐานะคนต่างชาติด้วย ทนายของตัวเองจะพูดได้เต็มที่ว่าเนื้อหาสัญญานี้ยุติธรรมหรือไม่กับเรา แต่หากเป็นทนายร่วมเขาอาจจะคิดว่า ให้ผัวเมียพูดกันเองดีกว่า แล้วเราก็จะไม่ได้ความชัดเจนหรือถามในสิ่งที่เราไม่อยากถามว่าที่สามีตรงๆ


ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดมุ่งหมายของการทำสัญญาก่อนสมรสก็เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่สมเหตุสมผล เป็นธรรม และนำไปบังคับใช้ได้กับทั้งสองฝ่าย มิใช่การมีทนายสองคนเพื่อมาเอาชนะกัน


ข้อผิดพลาดที่ ๓: ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำในระหว่างการต่อรอง

เป็นไปได้ว่าเนื้อหาในข้อตกลงบางอย่างจะทำให้มาดามน้อยใจ เช่น ถ้ามาดามเป็นฝ่ายขอหย่าและไปแต่งงานใหม่ จะไม่ให้อะไรเลย หรือห้ามเอาสินสมรสไปส่งเสียทางบ้านที่เมืองไทย ถ้ามาดามรู้สึกไม่พอใจกับเงื่อนไขของสัญญาเช่นนี้ ก็อาจจะใช้เวลาในการต่อรองให้นานขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อทั้งสองฝ่าย


เราต้องคิดเสมอว่า การแต่งงานเป็นการร่วมชีวิตของคนสองคนทั้งในด้านหัวใจความรัก และด้านทรัพย์สินเงินทองด้วย การทำสัญญาก่อนสมรสก็เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจในการสมรสนั่นเอง ขอให้พยายามอย่าใช้อารมณ์ในการเจรจาต่อรอง ให้ทำเหมือนเรากำลังตกลงทางธุรกิจ เพราะเราจะคิดได้อย่างปลอดโปร่งมากกว่า


ข้อผิดพลาดที่ ๔: รีบสรุปข้อตกลงเร็วเกินไป

ถ้ามาดามรู้สึกไม่สะดวกใจกับการทำสัญญา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่สันทัดด้านภาษา รู้สึกถูกเอาเปรียบ แล้วคิดว่าปล่อยไปตามกรรม ไปตายเอาดาบหน้า กำขี้ดีกว่ากำตด มาดามอาจจะต้องมาเสียใจในภายหลัง เช่น ยอมรับเงินค่าเลี้ยงดูจำนวนนิดเดียวในกรณีที่เขาเป็นฝ่ายขอหย่าโดยเราไม่มีความผิด (เพราะคิดว่าจะไม่มีวันนั้นเกิดขึ้น)


ดังนั้น มาดามไม่ควรจะยอมตามข้อสัญญาใดที่ตัวเองไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจ เพียงเพราะอยากให้มันจบๆไป หรือเพราะอยากแสดงความเป็นคนหัวอ่อน ว่าง่าย ไม่งก เพราะมันอาจจะสร้างปัญหาใหญ่ได้ในภายหลัง มาดามควรจะเลือกในสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจเต็มร้อยจำไว้ว่าฝรั่ง(ส่วนใหญ่)เป็นชาติที่ถนัดกับการถกเถียงด้วยเหตุผลเพื่อหาข้อสรุป บางทีเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเหมือนจะฆ่ากันตาย แต่เถียงจบแล้วจบกัน ไม่มีต่อ และพวกเขาสามารถพูดเรื่องเงินๆทองๆได้สบาย ไม่ขวยเขิน


เมื่อรักจะแต่งงานกับฝรั่งก็ต้องปรับทัศนคติให้เข้ากับเขาได้ด้วย ยอมเถียงกันวันนี้ขณะที่เราสองคนยังเท่าเทียมกัน ดีกว่าไปเถียงกันวันที่เรากลายเป็นเบี้ยล่างไปแล้ว


ข้อผิดพลาดที่ ๕: ครุ่นคิดถึงสัญญาหลังเซ็นไปแล้ว

หลังจากตรวจดูเนื้อหาในสัญญาและได้ลงนามไปแล้ว มาดามไม่ควรนั่งคิดนอนคิดว่า เอ เราได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์กันแน่ อย่างนี้เขาเอาเปรียบเรานี่นา ตายละ ทำไมเราไม่ขอนั่นขอนี่ไว้ด้วย


คิดแล้วก็ไม่มีความสุข เวลาทะเลาะกันนิดหน่อยก็คิดว่า หย่าดีกว่ามั้ง หย่าแล้วเราจะได้เท่านี้เท่านี้ เอาไปตั้งตัวใหม่ได้ แทนที่จะคิดปรองดองกับชีวิตแต่งงาน กลายเป็นคิดอยากแยกทางทุกวันไป


แม้ว่าสัญญาจะว่าด้วยเรื่องเงินๆทองๆและเงื่อนไขการใช้เงินของคู่สมรส แต่สัญญานี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายความสุขของมาดาม จะให้ดี ผู้ชำนาญการเขาแนะนำว่า ให้เอาสัญญาใส่ลิ้นชักชั้นล่างสุด ล็อคกุญแจแล้วลืมมันไปได้เลย ใช้ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุข เน้นไปที่ความสุขของการหมั้นหมาย งานวิวาห์ที่กำลังจะตามมา และหวังเพียงว่า มาดามจะไม่ต้องไปเปิดลิ้นชักนั้นอีกเลยในชีวิต

 
 
 

Recent Posts

See All

ใบ ปค. 14 คืออะไร

ความหมายของผู้มีอำนาจปกครอง หรือ ที่เรียกว่าใบ ปค. 14 คืออะไร กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้าเจ้าหน้าที่)ในค...

คดีหมิ่นประมาท

เป็นคนไทย โดนหมิ่นประมาท มีแนวทางอย่างไร ในการดำเนินคดี ผู้เสียหาย อยู่ออสเตรเลีย เราสามารถดำเนินคดีให้ท่านได้หรือไม่ ตอบ ได้คะ...

การหย่ากับชาวต่างชาติ

การหย่ากับชาวต่างชาติ กรณี ตัวอย่างศึกษา เคสจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายออสเตรเลีย ได้จดทะเบียนปลายปี 2010 ที่ออสเตรเลียกับคนเชื้อสายมะเซโดเนี...

コメント

コメントが読み込まれませんでした。
技術的な問題があったようです。お手数ですが、再度接続するか、ページを再読み込みしてださい。

© 2020 JThai Lawyer 

  • White Facebook Icon
QR line JThai.jpg

Australia &

Thailand

Postal address: PO Box 2321 Taylors Lakes Vic 3038

Email : jthailawyer@gmail.com

SMS :+6147 8736 105

Facebook Page: JThaiLawyer ทนายความคนไทย กฎหมายไทย-ออสฯ

เพื่อคนไทยในออสเตรเลีย

Facebook Lawyer: Jittima Lawyer

138/3 Zenex Building, Soi Ram Inthra 5

Anusawari, Bang Khen, Bangkok 10220

Facebook Lawyer: Jittima Lawyer

bottom of page