เป็นคนไทย โดนหมิ่นประมาท มีแนวทางอย่างไร ในการดำเนินคดี
ผู้เสียหาย อยู่ออสเตรเลีย เราสามารถดำเนินคดีให้ท่านได้หรือไม่ ตอบ ได้คะ ท่านหรือผู้เสียหายไม่จำต้องกลับไทย แต่ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ไปรับผิดตามคำสั่งศาล ผู้กระทำความผิดตามคำสั่งศาลมีความผิดอีกกระทงคะ
ผู้กระทำความผิด เมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิด เดินทางเข้าออกไทย โดนจับแน่นอนคะ
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นผู้กระทำความผิดต้องชำระตามคำพิพากษา
การดำเนินคดีที่ไทย ค่าดำเนินคดี ต้องยอมรับว่า ดำเนินการคดีที่ไทย ถูกกว่า การดำเนินคดีที่ออสเตรเลีย
เมื่อได้คำพิพากษาถึงที่สุดมาแล้ว ว่าผู้นั้นกระทำความผิด โพสต์เพื่อแจ้งกลุ่มเพจที่ประจานกันได้มั้ย ? หรือโพสต์เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบธรรมของตนได้หรือไม่ ?
ตอบ ได้สิคะ ยืนยันสิทธิ์ที่ถูกต้องว่าที่บุคคลดังกล่าว โพสต์นั้น ไม่ใช่เรื่องจริง และเป็นการกระทำที่มีความผิด ทำให้เกิดความเสียหาย โดยผลของคำพิพากษาถึงที่สุด
ใครได้รับการว่าจ้างให้โพสต์ด่า ประจาน ใส่ร้ายบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สาม ในสื่อสาธารณะ …ผู้ว่าจ่าง ผู้รับจ้าง ก็มีความผิดคะ
คดีหมิ่นประมาท
การติดต่อ พูดคุย หรือการกล่าวพาดพิงถึงบุคคลใด ปัจจุบันจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง จะพูดคุยสนทนากันหรือกล่าวถึงบุคคลใดโดยไม่คิดให้รอบคอบหรือคิดว่าเป็นเรื่องสนุกอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากบางคำพูดหรือบางการสนทนาอาจก่อให้ผู้อื่นต้องได้รับความเสียต่อชื่อเสียง หรืออาจทำให้ผู้อื่นต้องถูกดูถูกหรือถูกเกลียดชังได้ ซึ่งเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทนั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ได้บัญญัติความหมายและอัตราโทษไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” โดยเมื่อพิจารณาจากตัวบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว ความผิดฐานหมิ่นประมาทมีองค์ประกอบดังนี้
1.ผู้กระทำเจตนาใส่ความผู้อื่น
2.เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
3.ข้อความที่ผู้กระทำใส่ความนั้นอาจทำให้ผู้อื่น(ผู้ที่ถูกใส่ความ)ได้รับความเสียหาย ได้แก่ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
การกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท จะต้องมีบุคคลสามฝ่าย ได้แก่
1.ผู้ใส่ความ
2.ผู้ถูกใส่ความ และ
3.บุคคลที่สาม(ผู้ฟังการใส่ความ)
การพิจารณาว่าข้อเท็จจริงใดเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้วางหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้
1.จะเป็นการหมิ่นประมาทต้องไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นเพียงคำหยาบ คำด่า หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้
2.ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่แน่นอน ไม่คลุมเครือ เลื่อนลอย หรือกล่าวด้วยความน้อยใจ กล่าวคือต้องเป็นการยืนยันในข้อเท็จจริง
3.ข้อเท็จจริงนั้นต้องไม่ใช่การคาดคะเนหรือกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตโดยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันในอดีตหรือในปัจจุบัน และการหมิ่นประมาทจะต้องเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ซึ่งคำว่า "ผู้อื่น" นั้น เพียงทราบว่าหมายถึงใคร แต่ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อคนนั้น
นอกจากจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 แล้ว ยังมีความผิดฐานอื่น ๆอีก ได้แก่
การหมิ่นประมาทผู้ตาย มาตรา 327 บัญญัติว่า “ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้ บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา 326นั้น”
การหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มาตรา 328 บัญญัติว่า “ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท”
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าการกระทำเช่นไรเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ไม่ใช่ว่าทุกการกระทำจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทเสมอไป ซึ่งการกระทำที่จะไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 บัญญัติว่า “ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ (3) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท”
การฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาท
ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นเป็นความผิดอันยอมความได้ กฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกไว้ไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การฟ้องร้องดำเนินคดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง ซึ่งจะต้องดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือฟ้องคดีต่อศาลภายในกำหนดระเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดด้วย มิฉะนั้นจะทำให้คดีขาดอายุความและสิทธิการฟ้องคดีอาญาระงับสิ้นไป
#jthailawyer ทนายความคนไทย Jittima Lawyer ในออสเตรเลีย ขอบคุณที่ให้เราเป็นสื่อกลางด้านกฎหมายไทย-ออสเตรเลีย Jittima Muangjeen Lawyer Director
Comments